วันอาทิตย์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2552

มหายานกับเถรวาทในสายตาของผม

เถรวาทเราค่อนข้างเสี่ยงต่อการเสื่อมศรัทธาของผู้คนลงทุกวันๆ ....เราเคร่งคัดพระวินัยมากกว่ามหายานเยอะ ..แต่ทำไมมหายานเจริญขึ้น ฝรั่งหันมาสนใจกันเต็ม แต่เรากลับดูแย่ลง......เราเน้นปฏิบัติค่อนข้าง ...เคร่งคัดกันด้วยศีล ....สังคมเราชอบให้พระ เคร่งในพระธรรมวินัย......ถ้าเราดูสื่อ ....ทุกวันนี้..... ก็จะมีแต่ข่าวนำเสนอ...... พระที่ทำผิดพระธรรมวินัย..แทบทุกวัน...แต่พระอริยสงฆ์สาวก ของพระพุทธองค์ที่ปฏิบัติดี.... ปฏิบัติชอบ ....สื่อกับไม่่ค่อย ขุดคุ้ย มานำเสนอ......นี่อาจเป็นจุดอ่อน ทำให้ฆารวาส...... เองก็เสื่อมศรัทธา พระพุทธศาสนา ลงได้เช่นกัน ........พระมหากษัติรย์ไทยเราทุกๆ พระองค์ รักและส่งเสริม เชิดชูพระพุทธศาสนา ...เมื่อพวกเราปากบอกรักพระเจ้าอยู่หัว เราก็ต้องปฏิบัติช่วยเหลือภารกิจพระองค์ด้วย ..ช่วยพระองค์ในการส่งเสริมพุทธศาสนา อย่าทำลาย.....แต่ดูเหมือนการกระทำพวกเราสิ .....ไม่ค่อยมีความกตัญญูต่อพระพุทธศาสนากันเท่าไรเลย..... นำเสนอข่าวสารแต่แง่ลบ ....หรือแม้แต่จะผลักดันส่งเสริมพุทธศาสนา เป็นศาสนาประจำชาติยังค้านกันเลย....

พอเรามาดู มหายาน เขาไม่ได้เคร่งศีล พระวินัยเท่าเรา...... ฆารวาสเขาเองก็เข้าใจ .....ว่า แก่นของมหายานเขาใช้ปัญญานำ........ เช่นเรื่องสุญญตา ....เขาเข้าใจดีว่า สุญญตา. ความว่างจากกิเลสนั้น..... ไม่ได้เป็นภาวะที่จำกัด คนที่เป็นพระสงฆ์เท่านั้น..... มนุษย์คนไหน ก็ทำจิตว่างได้ .....เขาจึงไม่สนใจเรื่องพระวินัยมากเท่าไร.....แล้วก็ไม่โดนโจมตีเท่าเราด้วย ประชาชนศรัทธาพระพุทธศาสนาต่อไปได้....

สังคมเราเคร่งครัดกับภาพลักษณ์ รูปลักษณ์ ภายนอกมากเกินไป ....ดูอย่าง เรื่องชุดนักเรียน นักศึกษาก็เหมือนกัน ....ฝรั่งเขาไปศีกษาเล่าเรียนในโรงเรียน.... เขาก็ไม่ได้เคร่งใส่ชุด.... เพราะชุดไม่ได้ทำให้เกิดปัญญา.... แต่เพียงแต่ชุดสะกดให้เราดูเรียบร้อย ....สังคมเราชอบให้ คนอื่นดูมีวินัย ดูมีศีลดีพร้อม.... แต่ตัวเราเอง นั่นชอบขาดศีล ขาดวินัย มากที่สุด ...เรื่องการขับรถขับรา ฟ้องภาพอันนี้ได้ชัดเจน.....ไม่เช่นนั้น ทุกๆ เทศกาล ....เราคงไม่ขับรถชนกันตาย มาก....ในทุกๆ เทศกาลแน่นอน....เราเจริญกันช้า เพราะเราชอบปฏิบัติแบบเข็นครกขึ้นภูเขานั่นแหละ.....อยากเป็นคนดี หลงติดดี เลยไปยึดติดกับศีล กับวินัย จนสุดโต่งเกินไป ผมหมายถึงฆารวาสน่ะ พระสงฆ์ท่านไม่สุดโต่งหรอก .....พวกที่ทำผิดออกสื่อนั่น ....เขาไม่ได้เป็นพระอริยสงฆ์ สี่จำพวก ที่สมควรกราบไหว้ ....สื่อช่วยกันคิดหาทางแก้ไขด้วย.... ไม่ใช่เอาความจริงมาเปิดเผย .....โดยไม่สนใจ ผลกระทบจากการเสนอข่าว......ถ้าเป็นเช่นนั้นผมก็เรียกว่า ...ขายข่าวแต่เพียงอย่างเดียว ไม่รับผิดชอบต่อสังคม ....

Continue Reading...

พระอริยะบุคคลและลำดับของการหลุดพ้น

พระอริยะบุคคลและลำดับของการหลุดพ้น

พระโสดาบัน
พระโสดาบัน ท่านละสังโยชน์ได้ สาม ประการ คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส

พระสกิทาคามี
พระสิกทาคามีท่านก็ละ สังโยชน์ได้สามประการเท่าพระโสดาบัน แต่ท่านละได้ในระดับมากกว่า

พระอนาคามี

พระอรหันต์
การจำแนกประเภทของพระอรหันต์
พระสุกขวิปัสสกอรหันตเจ้า
พระเตวิชโชอรหันตเจ้า
พระฉฬภิญโญอรหันตเจ้า
พระปฏิสัมภิทัปปัตโตอรหันตเจ้า


หมายเหตุ บทความนี้ ยังเขียนไม่เสร็จ สมบูรณ์

Continue Reading...

การจำแนกประเภทของจิต

การจำแนกประเภทของจิต เพื่อดูจิตตนเอง และ จิตผู้อื่น


การศึกษาเรื่องประเภทของจิต เพื่อไว้ฝึกการดูจิต การฝึกดูจิตทำได้โดยการฝึกจิตตานุปัสสนานั่นเอง การดูจิตให้ดูที่จิตเรา เมื่อสติแก่กล้าแล้ว จะเกิดญาณหยั่งรู้สภาวะจิตอย่างดี สามารถหยั่งรู้จิตคนอื่นด้วย เพราะว่า สภาวะที่เกิดกับเรา มันก็เกิดกับคนอื่นเช่นกัน เมื่อเราพบเจอผู้คน ดูทีวี ดูข่าวสาร เราจะรู้ทันทีว่า คนไหนเป็นเช่นไร ดีจริงหรือ ดีไม่จริง

เจตสิก และ จิต 89 ดวง

ต่อไปนี้จะบอกวิธีการดูจิต ลำพังจิตนั้นย่อมมีลักษณะเป็นอันเดียว ไม่มีการปรุงแต่ง แต่ เมื่อมีธรรมะเข้ามาในใจ จะเรียกว่า เจตสิก จิตต่างๆนั้น จำแนก ได้ 89 ดวง ฉะนั้นควรทำความเข้าใจว่าเจตสิกประกอบด้วยอะไรบ้าง จะได้รู้ว่า บุคคลกำลังมีธรรมอะไร เข้าไปปรุงแต่งจิตอยู่

เจตสิกนั้นมี 3 ฝ่าย คือ

1 ฝ่ายที่เป็นสาธารณะ มี 13

2 ฝ่ายที่เป็นกุศล

3 ฝ่ายที่เป็นอกุศล

หมวดที่ 1 เจตสิกที่สาธารณะ มีอยู่ 7 คือ

  1. ผัสสะ คือ อายตนะภายใน สัมผัสกับ อายตนะภายนอก โดยมี วิญญาณธาตุเป็นตัวรับรู้
  2. เวทนา
  3. สัญญา
  4. เจตนา ความจงใจ
  5. เอกัคคตา ความที่จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่งเดียว
  6. ชีวิตินทรีย์ อินทรีย์คือชีวิต
  7. มนสิการ การกระทำไว้ในใจ

จิตของบุคคลทุกๆ คนจะปรากฏขี้นในทางกุศล อกุศล หรือ ในทางเป็นกลางๆ ก็จะต้องมีเจตสิกทั้ง 7 นี้ ประกอบอยู่ด้วยเสมอ เพราะฉะนั้น จึงเรียกว่าเจตสิกที่สาธารณะ คือ ทั่วไปแก่จิตทั้งหมด จะขอจำแนกแยกย่อยต่อไปดังนี้ ฝ่ายกุศลเจตสิกมี 25 อย่าง คือ

เจตสิกที่เป็นเบ็ดเตล็ดอีก 6 ได้แก่

  1. วิตก
  2. วิจาร
  3. อธิโมกข์ ความตัดสินใจเชื่อลง
  4. วิริยะ ความเพียร
  5. ปีติ ความอิ่มใจ
  6. ฉันทะ ความพอใจ

เหล่านี้มีแก่จิตบางดวง ทั้งกุศล และ อกุศล และอัพยากฤต รวมเป็น 13

หมวดที่ 2 เจตสิกที่เป็นฝ่ายกุศล มี 25

  1. ศรัทธา ความเชื่อสิ่งที่ควรเชื่อ
  2. สติ คนที่มีความ โลภ โกรธ หลง อยู่ เมื่อไร เมื่อนั้น ถือว่ากำลังขาดสติ เพราะว่ากำลังไปหลงยึดความ โลภ โกรธ หลงอยู่
  3. หิริ
  4. โอตตัปปะ
  5. อโลภะ จิตที่มีความไม่โลภ
  6. อโทสะ ความไม่โกรธ
  7. ตัตรมัชฌัตตตา ความที่เป็นมัธยัสถ์คือเป็นกลางในเรื่องนั้น
  8. กายปัสสัทธิ ความสงบในกาย
  9. จิตตปัสสัทธิ ความสงบจิต
  10. กายลหุตา ความเบากาย
  11. จิตตลหุตา ความเบาจิต
  12. กายมุทุตา ความอ่อนกาย
  13. จิตตมุทุตา ความอ่อนแห่งจิต
  14. กายกัมมัญญตา ความควรแก่การงานแห่งนามกาย
  15. จิตตกัมมัญญตา
  16. กายปาคุญญตา ความคล่องแคล่วแห่งกาย
  17. จิตตปาคุญญตา ความคล่องแคล่วแห่งจิต
  18. กายุชุกตา ความตรงแห่งกาย
  19. จิตตุชุกตา ความตรงแห่งจิต
  20. สัมมาวาจา จิตที่มีการพูดจา ชอบ
  21. สัมมากัมมันตะ การงานชอบ
  22. สัมมาอาชีวะ
  23. อัปปมัญญา การแผ่จิตออกไปโดยไม่มีประมาณ คือ กรุณา กับ มุทิตา
  24. ปัญญาอินทรีย์ อีกข้อหนึ่ง
  25. โสภณเจตสิก คือเจตสิกที่งดงาม

หมวดที่ 3 ฝ่ายอกุศลเจตสิก มีดังต่อไปนี้

1 โมหะ จิตที่มีความหลง

2 อหิริกะ ความไม่มีละอายแก่บาป

3 อโนตตัปปะ ความไม่มีโอตตัปปะเกรงกลัวต่อความชั่ว

4 อุทธัจจะ ความฟุ้งซ่านแห่งจิต

5 โลภะ จิตที่มีความโลภ

6 มิจฉาทิฏฐิ จิตที่มีความเห็นผิด

7 มานะ จิตที่มีมานะ ถือตัว ดูหมิ่น

8 จิตที่ประกอบด้วยโทสะ หรือ ความโกรธ

9 อิสสา จิตที่ริษยา

10 มัจฉริยะ ความตระหนี่ ถี่เหนียว
11 อุทธัจจะ กุกกุจจะ ความฟุ้งซ่านรำคาญใจ

12 ถีนะ ความง่วงเหงา หาวนอน

13 มิทธะ ความเคลิบเคลิ้ม

14 วิจิกิจฉา ความเคลือบแคลงสงสัย รวมเป็น 14 จิตที่เป็นอกุศล

.

.

.

หมายเหตุ บทความนี้ยังเขียนไว้คาราคาซังอยู่ (Pending)


Continue Reading...

กิเลสที่ต้องรู้จักมีอะไรบ้าง

นิวรณ์ 5

นิวรณ์ คือ เครื่องกั้นจิต ประกอบด้วย กามฉันทะ พยาบาท วิกิจจิจฉา อุทัจทัจจะ ถีนมิทธะ


อุปกิเลส 16

1 ความโลภ

2 ความพยาบาท

3 ความโกรธ

4 ความผูกโกรธ

5 ลบหลู่บุญคุณท่าน

6 ตีเสมอ

7 อิจฉาริษยา

8 ตระหนีถี่เหนียว

9 มายา เสแสร้ง

10 โอ้อวด

11 กระด้าง

12 แข่งดี

13 ถือตัว

14 ดูหมิ่น

15 มัวเมา

16 ประมาท

ตัณหา 3

ตัณหา 3 ประกอบด้วย กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา

กามตัณหา คือการอยากได้ อยากเอา มาเป็นของเรา มีลักษณะดึงเข้ามาจิตตน ความโลภ คือรากเหง้าของตัณหาชนิดนี้

ภวตัณหา คือความอยากเป็น อยากมีสภาวะเป็นเช่นนั้น เช่นอยากเป็นคนดัง อยากเป็นดารา นักร้องนักแสดง อยากเป็นคนมีชื่อเสียง อยากเป็นนายกรัฐมนตรี อยากเป็นไปด้วยอำนาจของกิเลส

วิภวตัณหา ก็ตรงกันข้ามกับ ภวตัณหา นั่นก็คือ ความไม่อยากเป็นสิ่งนั้น สิ่งนี้ เช่นไม่อยากเป็นคนจน ไม่อยากเป็นเมียน้อย ไม่อยากเป็นคนมีโรคชนิดนี้ มีลักษณะอาการผลักออกไปจากจิต

สังโยชน์ 10

สักกายทิฏฐิ

วิจิกิจฉา

สีลัพพตปรามาส

กามราคะ

ปฏิฆะ

รูปราคะ

อรูปราคะ

อุทธัจจะ

มานะ

อวิชชา

วิปัสสนูปกิเลส

เป็นกิเลสปราณีตอันเกิดจากเจริญวิปัสสนา พีงต้องระวัง เพราะเช่นนั้นจะไปติดสุขตัวนี้มาก


Continue Reading...

สติปัฏฐาน 4

สติปัฏฐาน 4

การฝึกสติมีฐานให้ฝีกอยู่ 4 อย่าง คือ กาย เวทนา จิต ธรรม แต่ละคนจะฝึกสติแบบไหน ควร ดูตัวเองว่าจิตเหมาะกับการฝีกแบบไหน โดยการดูจริตตน คนชอบคิดมาก นักคิด ทั้งหลายเหมาะที่จะฝึก จิตตานุปัสสนา ส่วนคนที่รักสวยรักงาม เหมาะที่จะฝึกกายานุปัสสนา

กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน

เวทนานุปัสสนาสติปํฏฐาน

จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน

ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน

Continue Reading...

สมถะวิปัสสนากรรมฐาน

สมถะวิปัสสนากรรมฐาน

สมถะกรรมฐาน

สมถะกรรมฐานมุ่งให้จิตสงบ โดยมีอารมณ์เดียว เมื่อจิตสงบมีอารมณ์นิ่งแล้วจะมีองค์ประกอบของฌาน


การฝึกสมถะทำได้หลายวิธี แต่มีหลักว่า ความสุขทำให้เกิดสมาธิ ไม่ใช่สมาธิทำให้เกิดความสุขนะ ดังนั้นการฝึกสมถะวิธีไหน ที่ฝึกแล้วมีความสุขก็ฝึกวิธีนั้น จิตจะเป็นสมาธิได้ง่าย จะเป็นการปฏิบัติที่เข็นครกลงภูเขา .....ไม่จำเป็นต้องเถียงกันว่า....สำนักไหนดีกว่ากัน... ครูบาจารย์ท่านมีหลายสาย...เผื่อที่จะสอนศิษย์ได้หลายๆ จริต...



วิปัสสนากรรมฐาน

วิปัสสนากรรมฐาน คือการฝึกเพ่งไปที่ ไตรลักษณ์ คือ ให้มองเห็นทุกอย่างเป็นทุกข์ อนิจจัง อนัตตา

เมื่อเราฝึกวิปัสสนาไปมากๆ อินทรีย์จะแก่กล้า จะปล่อยวางจากการยึดมั่นถือมั่นได้ง่าย เพราะไม่รู้จะยึดถือสิ่งต่างๆ ไปทำไม จะเกิดความเบื่อหน่าย ในการยึดถือสิ่งต่างๆ เมื่อไม่ยึดถือความทุกข์ก็ไม่เกิด แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นมาจากการปล่อยวางคือ ปัญญา


Continue Reading...

สุญญตา

สุญญตา

สุญญตา หมายถึงความว่าง ..........ความว่างนี้ไม่ได้หมายถึง ว่าสมองไม่ได้คิดอะไร....... แต่หมายถึง ว่างจากการยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ ทั้งปวง ..........ต่อไป ท่านจะได้รู้ว่า หลักธรรมนี้ปรับใช้ได้ทุกปัญหา ......ทุกสถานการณ์ ที่ชีวิตกำลังเผชิญอยู่........ ไม่เพียงแต่ชีวิตมนุษย์ แต่ทุกสรรพสิ่งล้วนอาศัยอยู่บนความว่าง...... นักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษาเข้าไปในอะตอม .....กลับพบว่าสิ่งที่เล็กกว่าอะตอมคือความว่าง!!!........ ความว่างจึงเป็นที่อยู่อาศัยของทั้งรูปและนาม.... หรือพูดแบบภาษาทางโลกก็คือ ........ความว่าง (Space) เป็นที่อยู่อาศัยของทั้งวัตถุและพลังงานทุกอย่าง......


อันที่จริงความว่างนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเข้าใจ ...... เราสามารถเข้าถึงความว่าง ด้วยการปฏิบัติเท่านั้น...... สิ่งต่างๆ เป็นเพียงการประชุมกันขึ้นชั่วคราวของนามและรูป......... และการประชุมกันเมื่อเกิดขึ้นแล้ว.... ก็ตั้งอยู่ได้ช่วงระยะเวลาหนึ่ง.... และในที่สุดก็ต้องดับไป .....อาการสามอย่างนี้ก็คือ ......เป็นไปตามกฎไตร์ลักษณ์นั่นเอง...... คือ ทุกข์ขัง อนิจจัง อนัตตา ..........ดังนั้นสิ่งต่างๆ จึงไม่มีตัวตนที่แท้จริง ........เมื่อเราเจริญสติแก่กล้าขึ้น ..........ใช้สมาธิเพียงเล็กน้อยเพ่งพิจารณากฏไตรลักษณ์........ ก็จะปล่อยวาง ได้ง่ายขึ้น...... เพราะทุกอย่างไม่ใช่ตัวเรา ........แม้ร่างกายและจิตใจที่คิดว่าเป็นของเรา .... ก็ขอให้ลองคิดดูเถิดในเมื่อทุกสิ่งไร้แก่นสารและตัวตนที่แท้จริง........ เหตุไรเราจึงมัวหลงไปยึดมั่นกับสิ่งต่างๆ เหล่านั้น......... ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของกีฬา การเมือง รัฐธรรมนูญ หรือตัวบุคคลที่เรา ชื่นชอบ หรือ เกลียดชัง......... เมื่อเราไม่ได้ปฏิบัติให้เข้าถึงสุญญตา ......ใจเราจะแคบลง .....ใจจะปิดกั้นกุศลธรรมต่างๆ ......เพราะ ใจจะมองเห็นแต่สิ่งที่เรายึดถือ.... จึงไม่เปิดกว้างรับสิ่งอื่นๆ.....โทสะจะเกิดขึ้นง่าย เมื่อมีใครมาขัดใจเรานิดหน่อย ก็เกิดขึ้นได้แล้ว.........ถ้าใจเราว่าง เมตตาจะเกิดขึ้นเองโดยอัติโนมัติ .....ไม่ต้องมาคอยบอกคนไทยให้สามัคคีกัน ......เพราะถ้าจิตว่าง และมีสติ จะไม่มีเหตุให้ทะเลาะกัน...... เป็นการดับไฟแต่ต้นลม.....การบอกให้สามัคคีกัน เป็นการดับไฟที่ปลายลม หรือ เข็นครกขึ้นภูเขา ....มันยากที่จะทำสำเร็จ

Continue Reading...

แก่นธรรมพระพุทธศาสนา

หลักธรรมในพระพุทธศาสนา

หัวใจพระพุทธศาสนา นั้นคือ อริยสัจสี่ ปฏิจจสมุปบาท อิทัปปัจจยตา ตถาตา ธรรม เหล่านี้คือหัวใจของพระพุทธศาสนา ถือเป็นเรื่องเดียวกันแต่กล่าวในรายละเอียดต่างกัน การได้ลงมือปฏิบัติแล้วถึงจะทราบได้ว่า เรื่องเหล่านี้คือเรื่องเดียวกัน

อริยสัจ 4

อริยสัจ 4 ประกอบด้วย ทุกข์ สมุหทัย นิโรธ มรรค


ทุกข์ คือ ความทุกข์ ความแปรปรวน ตั้งอยู่ไม่ได้


สมุหทัย คือ เหตุที่ทำให้เกิดความทุกข์


นิโรธ คือ การที่ทุกข์ดับลงไป จะให้เข้าใจง่ายๆ นั่นก็คือ ความสุข ซึ่งเป็นความสุขสูงที่สุด เหนือกว่าความสุขใดๆ ทั้งสิ้น พระพุทธศาสนามีเป้าหมายสูงสุด เพื่อให้เราได้รับความสุขขั้นสูงสุด


มรรค นั้นคือ หนทางดับทุกข์ หรือให้เข้าใจ ง่ายๆ ก็คือ เหตุแห่งสุข...... หนทางปฏิบัติเพื่อการดับทุกข์นั้น.....มี 8 อย่าง ......เรียกว่ามรรคมีองค์แปด


คน ไทยเราโชคดี ......ที่พระพุทธองค์ทรงชี้ให้เห็นแล้ว ว่าวิธีที่ทำให้ตนเองประสบความสำเร็จบรรลุมรรคผล นั่นมีเพียงแค่ 8 ข้อเท่านั้นเอง................ 8 ข้อนั้นมีอย่างไร.....


อริยมรรคมีองค์ 8

มี 8 ประการดังต่อไปนี้

  1. สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ
  2. สัมมาสังกับโป ดำริชอบ
  3. สัมมาสังกับโป ดำริชอบ
  4. สัมมาวาจา พูดจาชอบ
  5. สัมมาอาชีโว เป็นอยู่ชอบ เช่น มีอาชีพสุจริตชอบ
  6. สัมมากัมมันโต การงานชอบ
  7. สัมมาวายาโม ความเพียรชอบ
  8. สัมมาสติ สติชอบ
  9. สัมมาสมาธิ สมาธิชอบ



ผู้ปฏิบัติธรรม ไม่ควรกล่าวเรื่องไม่มีประโยชน์

แต่จงพยายามกล่าวแต่เรื่อง......ทำอย่างไรเราจึงดับทุกข์.... ของเราลงได้ ....

ซึ่งวิธีการ นั้น พระพุทธองค์ได้สั่งสอนให้กับพวกเราแล้ว....แต่ดูเหมือนว่าผมและเพื่อนๆ ร่วมทุกข์ผม....ไม่ค่อยสนใจคำสอน

ท่าน เท่าไร .....แต่มักชอบดู ....ฟังรายการทีวีการเมือง ......ดูข่าวขุดคุ้ย ...อ่านข่าวซ้อเซ้อ......อย่างละเอียดละออ.... ราวกับว่ามันจะทำให้ผมเกิดปัญญาญาณ ....พ้นทุกข์ได้...รู้ข่าวสารว่าใครชั่ว ....ใครดี ....ใครเลว......

รู้ ข่าววงใน รู้แล้วไปพูดต่อ ....ราวกับว่าเราเป็นเทพ ผู้หยั่งรู้............ผมรู้ไปหมดทุกคนในสังคม ...แต่ผมไม่เคยรู้ตัวตนของตัวเองเท่านั้นเอง......

... ระวังนะครับ ..... ผมจะตกเป็นเหยื่อ.... ถูกหลอกพากระชาก....ลากพาจิตผมไปเสีย.....จนจิตไม่อยู่กับตัว..... หลงสติน่ะ ..... จนบางทีผมก็ไม่รู้เนื้อ รู้ตัว....ว่าผมกำลังทำไรอยู่ ..นั่งทำงานที่ทำงาน แต่ใจมันไม่ได้อยู่ที่งานที่ทำ...จิตมันส่งออกนอกกาย ....นอกใจไป..... อยู่กับเรื่องราวที่เขานำเสนอ.....ยิ่งตอนบ้านเมืองทะเลาะเบาะแว้งแตก สามัคคีกันด้วย.....ยิ่งโกรธเกลียด ฝ่าย ตรงข้าม ที่เรียกว่า ฝ่ายชั่ว (จิตเหนือดี เหนือชั่วบอกผมว่า ผมหลงอุปทานไปเองว่าเขาชั่ว).....ถ้าไม่เกี่ยวกับเรื่องการเมือง ....จิตผมก็เป็นไปในลักษณะนี้อยู่นั่นแหละ....


ผมชักเริ่มสงสัย ......เสพข่าวเหล่านี้มากๆ...... จะทำให้ชีวิตผมเต็มไปความสุขหรือ ....เต็มไปด้วยความทุกข์กันแน่ .....ผมถามตัวเอง


ปฏิจจสมุปบาท

ปฏิจจสมุปบาท นั้น แปลว่า ธรรมที่เกิดขึ้นด้วยกันโดยอาศัยกัน หรือ เกิดขึ้นด้วยกันโดยอาศัยกัน

ปฏิจจสมุปบาท มี 12 สาย คือ

สังขาร

วิญญาณ

นามรูป

สฬายตนะ

ผัสสะ

เวทนา

ตัณหา

อุปาทาน

ภพ

ชาติ

ชรา

มรณะ

อิทัปปัจจยตา

อิทัปปัจจยตา คือ เพราะสิ่งนี้เป็นปัจจัย จึงเกิดสิ่งนี้ ซึ่งก็คือ ปฏิจจสมุปบาทนั่นเอง แต่ว่าอิทัปปัจจยตา กล่าวถึงทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นวิทยาศาสตร์ที่สุดแล้ว แต่ปฏิจจสมุปบาท ก็คือ อิปทัปปัจจยตา ที่ กล่าวเน้นเฉพาะเรื่องการดับทุกข์

ตถาตา

ความหมายของตถาตาคือ ความที่มันเป็นเช่นนั้นเอง

ปัญญา ศีล สมาธิ

การปฏิบัติ ธรรม ให้สำเร็จโดยง่าย ต้องเรียงลำดับจาก ปัญญา ศีล สมาธิ
แต่สำหรับ คนที่ปัญญา บารมีน้อย ก็ควรที่จะเริ่มต้นจาก รักษาศีล ก่อน


ผมขอกล่าว คร่าวๆ ย่อๆ .......ยังไม่สมบูรณ์ไว้แค่นี้ก่อน .....เมื่อมีเวลาว่าง........จะมาขยายความเพิ่มขึ้น.....

จาก ผม อนัตตา

Continue Reading...

วันเสาร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ธยานิพุทธเจ้า (Dhyani or Pancha Buddha)

picture from http://www.mydzi.blogspot.com

ทางมหายาน เชื่อว่า ธยานิพุทธเจ้า เกิดจาก อธิพุทธเจ้าอีกที เพื่อมาเป็นผู้คอยช่วยเหลือพระองค์
ธยานิพุทธเจ้าห้าพระองค์ ได้แก่
  1. ไวโรจนะพุทธเจ้า
  2. อักโชภยะพุทธเจ้า
  3. รัตนะสัมภาวะพุทธเจ้า
  4. อมิตาภะพุทธเจ้า
  5. อโมฆะสิทธิพุทธเจ้า
หมายเหตุ บทความข้างบนเขียนยังไม่หมด ร่างโครงไว้เฉยๆ

ชาวเถรวาท เราอย่าเพิ่งด่วนตัดสิน ปรามาส ความเชื่อของเขา ...ผมจะมาเปิดเผยปริศนาธรรมให้ท่านได้รู้ต่อไป

Continue Reading...

Om mani padme hum

เป็นคาถาของเจ้าแม่กวนอิม (mantra of Avalokiteshvara)..... ผมท่องคาถานี้ในใจอยู่เสมอ......มีเพียงแค่ 6 พยางค์ โอม มา นี ปาถ เม ฮุม... เพื่อใช้เป็นอุบายหรือ เครื่องมือ..... ในการทำจิตให้สงบ......ทางมหายาน...เขาเชื่อกันว่าคาถานี้มีความศักดิ์สิทธิ์มาก ....ศักดิ์สิทธ์อย่างไร...... เชื่อกันว่า .....ผู้สวดด้วยบทสวดนี้.......จะได้รับการคุ้มครองภัยอันตรายต่างๆ ......มนตรานี้พบได้ทั่วไปในศาสนาพุทธนิกายมหายาน....... เช่น กงล้อสวด สลักบนหิน ช่องเขา ทางเข้า ออกหมู่บ้าน ทำแหวน ห้อยคอ กำไร เป็นต้น ........เพื่อเป็นการคุ้มครองภัย....

Continue Reading...

วันศุกร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2552

พระโพธิสัตว์มัชชูศรี (Manjushree)

พระโพธิสัตว์แห่งสติปัญญา .....ในประเทศเนปาลถือว่าท่าน.......เป็นผู้ก่อตั้งอารยธรรมชาวเนปาล.....และเป็นผู้สร้างหุบเขากาฐมานฑุ ......มือขวาพระองค์ถือดาบแห่งปัญญา .....ตำแหน่งปลายดาบอยู่ที่บริเวณพระเศียร ...... ถ้าเราดูจากลักษณะ .....ก็เป็นนามธรรมที่แฝงไว้ .....ว่าให้เราใช้สติ... ใช้ปัญญา......ฟันฝ่าปัญหา อุปสรรค .....ใบหน้านิ่งสงบ ยิ้มแย้ม.......เป็นกุศโลบายว่า..... อย่าแก้ปัญหา หรือใช้ชีวิตด้วยอารมณ์..... ทางด้านซ้ายมีดอกบัวที่บานแล้ว..เราชาวพุทธคงไม่ต้องบอกว่าดอกบัวที่บานแล้วหมายถึงอะไร...... พระหัตถ์ซ้ายอยู่ในท่าสอน .......เวลาที่ผมเพ่งดูรูปลักษณะท่านแล้ว........ ผมก็จะเย็นลง เหมือนท่านบอกกับผมว่า ........ใจเย็นๆ นะลูก ....ทำอะไรให้ใจเย็น สุขุม ร่าเริง........ ใช้สติปัญญาแล้วจะประสบผลสำเร็จ

Continue Reading...

พระพุทธเจ้าอักโษภย (Akshobhya Buddha)


ท่านเป็นธยานิพุทธเจ้าองค์ที่ 2

Continue Reading...

พระพุทธเจ้าอมิตาภะ (Amitabha Buddha)



พระอมิตาภะพุทธเจ้า ...พระนามของท่านแปลว่าแสงสว่างไม่มีที่สิ้นสุด.....คนจีนเรียก ออนีถ่อฮุก ......ท่านั่งปางสมาธิ
.......ท่านเป็นธยานิ พุทธเจ้าองค์ที่ 4 ......พระวรกายท่านมีสีแดง.....
ท่านหันหน้าไปทางทิศตะวันตก..... มหายาน เชื่อว่าท่านได้แบ่งภาค ลงมาจุติเป็นพระศรีศากยมุนี หรือพระพุทธเจ้า องค์ปัจจุบัน ที่ออกเผยแพร่ธรรมให้กับพวกเรา เมื่อ 2500 กว่าปี มาแล้วนั่นเอง

Continue Reading...

พระพุทธเจ้า อโมฆะสิทธิ (Amoghshiddhi Buddha)


พระองค์ทรงเป็น ธยานิ พุทธเจ้าองค์ที่ 5.....
พระวรกายของท่านมีสีเขียว .........ท่านหันพระพักษร์ไปทางทิศเหนือ.........เชื่อว่าท่าน กายเนื้อ(นิรมานกาย) ของท่านคือ พระศรีอริยเมตไตรยพุทธเจ้าในอนาคตกาล ซึ่งปัจจุบันนี้พระศรีอริยเมตไตรย ท่านแสดงธรรมเผยแพร่อยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิต

Continue Reading...

พระโพธิสัตว์ ธาราขาว (White Tara)

พระโพธิสัตว์ธาราขาว ท่านเกิดจากน้ำตาพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร (เจ้าแม่กวนอิม) เช่นเดียวกับพระโพธิสัตว์ธาราเขียว แต่ว่าคนหละซีกตา

ลักษณะท่านมี ดวงตาเจ็ดตา ดวงตาพิเศษอยู่ที่หน้าผาก 1 ที่มือ 2 ที่เท้า2 และตาหลักอีก 2 ...โดยมีดอกบัวที่บานแล้วทั้งสองข้าง...ประทับในท่านั่งวัชรา....มือขวาอยู่ในท่าประทานพร.....มือซ้ายอยู่ในท่าสอน.... สวมใส่เครื่องประดับมีค่าทุกชนิด สวยงาม............ ท่านค่อนข้างเป็นผู้ใหญ่ สุขุม กว่า Green Tara....ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ที่สำคัญของชาวเนปาลและธิเบต ....เชื่อว่า พระองค์ทรงปกป้องมนุษญ์ขณะที่พวกเขากำลังข้ามมหาสมุทรชีวิต ....

Continue Reading...

พระโพธิสัตว์ ธาราเขียว (Green Tara)

ท่านเกิดจาก น้ำตาพระโพธิสัตว์กวนอิม พระหัตถ์ซ้าย ถือดอกบัว กึ่งปิด หรือบัวยังไม่บาน ชาวเนปาล เชื่อว่า ถ้าเราอยากได้อะไรก็ให้อธิฐานจิตขอกลับท่านได้ ถ้าเราเป็นคนดียังไงท่านก็ช่วยเรา

Continue Reading...

วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2552

นาจาเทพ


นาจาเทพท่านเป็นเทพที่มีความกตัญญูสูงมาก

Continue Reading...

เจ้าแม่กวนอิม ปางประทับบนมังกร Kuan Yin (also spelled Guan Yin, Kwan Yin)

Continue Reading...

พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร 8 กร (Avalokitesvara)


Continue Reading...

ชัมภาลา (Jambala or Kuber) หรือ เทพเจ้าไฉ่ซิ่งเอี๊ย


ท่านเป็นเทพเจ้าโชคลาภ...... ที่คนจีนนับถือมาก..... ลักษณะใบหน้าดูน่าเกรงขาม ....แต่ท่านใจดี.... พุงท่านอ้วนพลุ้ย เปลือยกายท่อนบน...ประดับประดาด้วยอัญมณีเต็มกาย.... แสดงถึงความมั่งคั่ง .....ท่านได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าจนบรรลุโสดาบัน....ละสังโยชน์ได้สามประการ...ท่านได้รับหน้าที่ให้ปกป้องพระพุทธศาสนา และทำหน้าที่ปกครองสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชา (ชั้นที่1)..... ปกครองทางทิศเหนือ.......

แถบเทือกเขาหิมาลัย .....คนไทยรู้จักท่านในชื่อท้าวเวสสุวรรณ นั่นเอง มือซ้ายของท่านถือพังพอน กำลังพ่นเงินออกมา

Continue Reading...

พระศรีศากยมุนี

พระศรีศากยมุนี คือพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ทางพุทธศาสนามหายาน เชื่อว่าท่านเป็นนิรมานกาย(กายเนื้อ) ของพระอมิตาพุทธเจ้า ทางเถรวาท เราทราบดี ในคัมภีร์ มีบอก พระสมณโคดม องค์ปัจจุบัน เป็นองค์ที่ 4 ใน ภัทรกัปป์ นี้จากทั้งหมด 5 พระองค์ องค์ที่ 5 จะตรัสรู้ในอนาคตกาลอีกยาว ไกล คือ พระศรีอริยเมตไตรย ซึ่งก็ตรงกับ ธยานิพุทธเจ้า ของ มหายาน แต่ ของมหายาน มีทั้งนิรมานกาย และ สัมโภคกาย พระอมิตาภพุทธเจ้า ท่านเป็นสัมโภคกาย (กายทิพย์) องค์ที่ 4 ของธยานิพุทธเจ้า

Continue Reading...

พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ปางการาซเฮรี (Khara Cheri)

Khara Cheri
มีสี่กร พระหัตถ์ขวา ถือลูกประคำ พระหัตถ์ซ้ายถือ ดอกบัวที่บานเต็มที่
มือหลักอีกสองข้างยกมาที่หน้าอก โดยประสานฝ่ามือในท่านมัสการ ถือรัตนมณี ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความรู้

Continue Reading...